ทนายความจังหวัดเชียงราย  ทนายแบงค์ 094 743 8311

ทนายความจังหวัดเชียงราย  ทนายแบงค์ 094 743 8311

เปิดหน้าต่อไป

คำพิพากษาฎีกาที่สำคัญ

คำพิพากษาที่สำคัญ

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 01

หัวข้อเรื่อง

1. อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง  

2. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

3. ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว 

4. การปลดหนี้โดยข้อความทางเฟซบุ๊กถือเป็นหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ยกเลิกหนี้ได้

5. ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกจ้างประจำ หากทำงานลักษณะเดียวกัน  

6. ดอกเบี้ยที่คิดล่วงหน้าเกินกฎหมายตกเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นยังคงสมบูรณ์

7. ตัวแทนกระทำเกินอำนาจ – การให้สัตยาบันโดยตัวการไม่ตัดสิทธิเรียกร้องความเสียหาย และผลของการละเลยเรียกหนี้จนขาดอายุความ  

8. เจ้าของโรงแรมต้องรับผิดฐานละเมิดเมื่อผู้เข้าพักจมน้ำเสียชีวิตในสระว่ายน้ำของโรงแรม  

9. การเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดฐานยักยอกเป็นลักทรัพย์ และการวินิจฉัยเมื่อข้อเท็จจริงแตกต่างในรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ

********************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 02

หัวข้อเรื่อง

1. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

2. อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง

3. ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว  

4. อำนาจฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเสมอไป  

5. หลอกลวงโดยระบบโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ถือเป็นความผิดฉ้อโกงประชาชน  

6. แกล้งจ่ายค่าสินค้าราคาถูกแทนสินค้าแพง ไม่ใช่ฉ้อโกง แต่เป็นลักทรัพย์

7. การตายพร้อมกัน ไม่ก่อให้เกิดสิทธิรับมรดกแทนที่ และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

8. จำเลยหลีกเลี่ยงไม่รับหมายเรียก ศาลส่งโดยประกาศหนังสือพิมพ์ชอบด้วยกฎหมาย 

9. คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนใช้ยันในศาลได้ แม้ไม่มีพยานหักล้าง – ไม่ผิดฐานข่มขืนศพ

10. ขยายเวลาอุทธรณ์แล้ว ต้องยื่นภายในวันที่ครบกำหนดใหม่ มิอาจอ้างวันหยุดตามมาตรา 193/8 ได้

11. ผู้ประกอบการสามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าปลอดภัย จึงไม่มีความรับผิด – ข้าวสารบรรจุถุงมีเชื้อรา ไม่ใช่ความรับผิดของผู้ผลิต

**************************************

คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 03
หัวข้อเรื่อง

1. ข้อสัญญาจ้างทนายความที่ให้ส่วนแบ่งจากทรัพย์สินคดี ถือเป็นโมฆะเพราะขัดจริยธรรมและศีลธรรมอันดี

2. การร้องเรียนเจ้านายโดยสุจริต ย่อมไม่เป็นหมิ่นประมาทหรือแจ้งความเท็จ

3. ครูสั่งนักเรียนวิ่งกลางแดดจนเสียชีวิต เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ หน่วยงานรัฐต้องรับผิด 

4. สิทธิร้องทุกข์ของผู้เช่าซื้อกรณีถูกหลอกให้ขายดาวน์รถยนต์ – ฉ้อโกงโดยผู้ซื้อดาวน์

5. ฐานะของประกาศหัวหน้าคณะปฏิวัติในทางกฎหมายตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ

6. พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา แต่ย่อมรับผิดฐานยักยอกได้

7. สัญญาต่างตอบแทนที่มีเงื่อนไข หากทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหายก่อนเงื่อนไขสำเร็จ คู่สัญญาไม่มีสิทธิเรียกร้อง 

8. การฟ้องเรียกค่าสินไหมจากอุบัติเหตุทางยานพาหนะ ต้องระบุฐานความรับผิดให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นห้ามอุทธรณ์

9. ผู้เช่าที่ดินมีสิทธิฟ้องขจัดการรบกวนแม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน

10. การจัดเก็บภาษีป้ายจากสถานีบริการน้ำมันและสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่  

**************************************

 คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 04
หัวข้อเรื่อง

1. การใช้ดุลพินิจศาลอุทธรณ์ไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลางในคดีบรรทุกน้ำหนักเกิน

2. ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันและสิทธิที่อาจถูกจำกัดตามสัญญา

3. ไม่มีความผิดฐานประมาท เมื่อรถของผู้เสียหายเสียหลักตัดหน้ากระชั้นชิด

4. การยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องจดทะเบียนแม้มีภาระจำนอง และไม่ผูกพันข้อเท็จจริงตามคดีอาญา

5. ขับรถเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน แม้ไม่ชน แต่ถือว่าประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย

6. การเพิ่มเติมฟ้องในคดียาเสพติด – การใช้สายลับล่อซื้อไม่ถือเป็นการล่อให้กระทำความผิด

7. เจ้าของรวมใช้สิทธิต่อบุคคลภายนอกโดยไม่ขัดสิทธิของเจ้าของรวมอื่น และการร้องสอดของเจ้าของรวม

8. คำสั่งเลิกจ้างย้อนหลังโดยอ้างพฤติการณ์ทุจริต ขัดคำสั่งพักงานและคำพิพากษาศาลอาญา

9. กรณีผู้รับประโยชน์ในประกันชีวิตถึงแก่ความตายก่อนผู้เอาประกันภัย เงินประกันตกแก่ใคร

10. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัทฐานยักยอก เมื่อกรรมการร่วมกับบุคคลภายนอกทำความผิดต่อนิติบุคคล

**************************************


คำพิพากษาฎีกา ชุดที่ 01

หัวข้อเรื่อง

1. อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง  

2. ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

3. ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว 

4. การปลดหนี้โดยข้อความทางเฟซบุ๊กถือเป็นหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ยกเลิกหนี้ได้

5. ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกจ้างประจำ หากทำงานลักษณะเดียวกัน  

6. ดอกเบี้ยที่คิดล่วงหน้าเกินกฎหมายตกเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นยังคงสมบูรณ์

7. ตัวแทนกระทำเกินอำนาจ – การให้สัตยาบันโดยตัวการไม่ตัดสิทธิเรียกร้องความเสียหาย และผลของการละเลยเรียกหนี้จนขาดอายุความ  

8. เจ้าของโรงแรมต้องรับผิดฐานละเมิดเมื่อผู้เข้าพักจมน้ำเสียชีวิตในสระว่ายน้ำของโรงแรม  

9. การเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดฐานยักยอกเป็นลักทรัพย์ และการวินิจฉัยเมื่อข้อเท็จจริงแตกต่างในรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ

********************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ว่าด้วยเรื่อง อายุความร้องทุกข์ในคดีอาญา กรณีความผิดอันยอมความได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 (หมิ่นประมาท) และกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง

2. หัวข้อเรื่อง

“อายุความในคดีหมิ่นประมาท และข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในศาลแขวง”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 4099/2529

ข้อเท็จจริง

โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท (มาตรา 326) ซึ่งเป็น ความผิดอันยอมความได้

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2526 แต่ร้องทุกข์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2527 ซึ่งเลยกำหนด 3 เดือนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 96 ประมวลกฎหมายอาญา ศาลชั้นต้นจึง ยกฟ้องโดยถือว่าคดีขาดอายุความ

โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้เสียหายเพิ่งจะรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด จึงไม่ขาดอายุความ

ข้อกฎหมาย

ปัญหาว่า “คดีขาดอายุความหรือไม่” แบ่งออกเป็น 2 ประเภท:

 • หากยังโต้แย้งกันว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิดเมื่อใด = ปัญหาข้อเท็จจริง

 • หากได้ข้อเท็จจริงชัดเจนแล้ว แต่โต้แย้งว่าอายุความเริ่มนับจากเมื่อใด = ปัญหาข้อกฎหมาย

ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยและยุติว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องตั้งแต่ 20 ธันวาคม 2526 จึงถือว่าข้อเท็จจริงนี้ ยุติไปแล้ว

การที่โจทก์อุทธรณ์มาโดยอ้างว่า เพิ่งรู้เรื่องความผิดและผู้กระทำผิด จึงเป็นการ โต้แย้งข้อเท็จจริง ซึ่ง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตาม

 • พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 22

 • ประกอบ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3

ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า

 • ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 • ข้อเท็จจริงในเรื่องอายุความ ถือว่ายุติแล้ว

 • โจทก์ ไม่มีสิทธิฎีกา

ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกาใช้หลักการแบ่งแยกระหว่าง “ปัญหาข้อเท็จจริง” และ “ปัญหาข้อกฎหมาย” อย่างชัดเจน

โดยถือว่า เมื่อศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยเรื่องที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดแล้วและเป็นข้อเท็จจริง คำวินิจฉัยนั้น ถือเป็นที่สุด โจทก์ไม่อาจอุทธรณ์หรือฎีกาในประเด็นดังกล่าวอีก

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น คดีอาญาอันยอมความได้ การยื่นร้องทุกข์ล่าช้า หรือปัญหาอายุความ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์

🌐 www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

********************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายบริษัทจำกัด, พยานหลักฐานเกี่ยวกับการถือหุ้น, และความผิดตาม พ.ร.บ. กำหนดความผิดเกี่ยวกับบริษัทฯ พ.ศ. 2499

2. หัวข้อ

ผู้ถือหุ้นมีสิทธิฟ้องกรรมการบริษัท เมื่อมีหลักฐานจากทะเบียนผู้ถือหุ้นรับรอง

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

คำพิพากษาฎีกาที่ 9709/2544

➤ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์อ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัด และได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัทไม่แสดงรายการเงินลงทุน 15 ล้านบาทในงบดุล

 • เอกสารหลักฐาน ได้แก่ สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่จำเลยในฐานะกรรมการผู้จัดการลงชื่อรับรองว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับสมุดทะเบียน

➤ ข้อกฎหมาย

 • ป.พ.พ. มาตรา 1141: สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง

 • พ.ร.บ. กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 (2): กำหนดให้ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องในกรณีกรรมการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ เช่น ไม่แสดงรายการสำคัญในงบดุล

➤ ดุลพินิจของศาล

 • เมื่อจำเลยลงชื่อรับรองในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และไม่สามารถนำสืบหักล้างได้

➤ ถือว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นจริง

 • การที่จำเลยได้รับเงินลงทุนตามสัญญาเป็น 2 งวด แต่เป็นผลจากเจตนาที่มีต่อยอดรวม 15 ล้านบาท จึงเป็นการกระทำ “กรรมเดียว”

 • การไม่ลงรายการเงินลงทุนในงบดุลของวันที่ 31 ธันวาคม 2535 เป็นการไม่แสดงรายการตามที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย

✅ สรุป

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจริงตามทะเบียนผู้ถือหุ้น จึงมีสถานะเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ในความผิดตามมาตรา 42 (2) ของ พ.ร.บ.บริษัทฯ จากการไม่แสดงรายการเงินลงทุนในงบดุล ซึ่งถือเป็นการกระทำกรรมเดียว แม้จะได้รับเงินแบ่งเป็นงวดก็ตาม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🔎 www.สู้คดี.com

🔎 www.ทนายภูวงษ์.com

***************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา – การถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว

2. หัวข้อเรื่อง

ผลของการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 1201/2529

✅ ข้อเท็จจริง

คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งกฎหมายให้อำนาจผู้เสียหายสามารถถอนคำร้องทุกข์ได้ ต่อมาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่ยังอยู่ภายในระยะเวลาอุทธรณ์ และไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ ผู้เสียหายได้ยื่นขอถอนคำร้องทุกข์ในระยะเวลาดังกล่าว

✅ ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)

ระบุว่า คดีอาญาระงับเมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด

 • การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่ยังไม่พ้นกำหนดอุทธรณ์ ถือว่ายังไม่ถึงที่สุด

 • เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด คดีถือว่าระงับไปโดยผลของกฎหมาย

✅ ดุลพินิจของศาล

ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ได้ แม้จะมีคำพิพากษาแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุดตามกฎหมาย ศาลอนุญาตให้ถอนคำร้องทุกข์ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนคำพิพากษาเดิม

ศาลวินิจฉัยว่า การถอนคำร้องทุกข์ก่อนที่คดีจะถึงที่สุด ย่อมทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาสิ้นสุดลง คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงระงับไปในตัวโดยผลของกฎหมาย ไม่ต้องมีการอุทธรณ์หรือฎีกาใด ๆ เพิ่มเติม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

***************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงิน การปลดหนี้ และธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

เกี่ยวข้องกับ:

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 ว่าด้วยการปลดหนี้

 • พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 มาตรา 7 ถึง มาตรา 9

2. หัวข้อเรื่อง

การปลดหนี้โดยข้อความทางเฟซบุ๊กถือเป็นหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ยกเลิกหนี้ได้

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

ข้อเท็จจริง

 • จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์เป็นจำนวน 595,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน

 • จำเลยชำระดอกเบี้ยบางส่วน รวม 4 ครั้ง เป็นเงิน 6,550 บาท แต่ไม่ชำระเงินต้น

 • โจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยทาง Facebook ว่า “เงินทั้งหมด 670,000 บาท ไม่ต้องส่งคืน ยกให้หมด ไม่ต้องส่งดอกอะไรมาให้ จะได้ไม่ต้องมีภาระหนี้สินติดตัว”

 • โจทก์ยอมรับว่าเป็นผู้ส่งข้อความดังกล่าวจริง

ข้อกฎหมาย

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340: การปลดหนี้ต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ

 • พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 7-9: การแสดงเจตนาในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถือว่าเป็นหลักฐานเป็นหนังสือได้หากพิสูจน์ได้ว่าผู้ส่งเป็นใคร

ดุลพินิจของศาล

 • ข้อความที่ส่งผ่าน Facebook มีชื่อผู้ส่งชัดเจน และโจทก์ยอมรับว่าเป็นผู้ส่งจริง

 • ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาปลดหนี้โดยมี “หลักฐานเป็นหนังสือ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 340

 • หนี้ที่จำเลยกู้ยืมจึงถือว่าระงับไปแล้ว

 • โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้อีก

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีแรงงาน – สิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรงตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคสอง

2. หัวข้อเรื่อง

ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เทียบเท่าลูกจ้างประจำ หากทำงานลักษณะเดียวกัน

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 1987/2558

▌ข้อเท็จจริง

โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 12, ที่ 14 ถึงที่ 35 และที่ 37 ถึงที่ 42 เป็น ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง ที่ทำงานในหน้าที่พนักงานขับรถและพนักงานคลังสินค้า ซึ่งเป็นลักษณะงานเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 1 (ผู้ประกอบกิจการ) โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างโดยตรงที่ได้รับมอบหมายให้จัดหาคนงานจากจำเลยที่ 1

▌ข้อกฎหมาย

 • มาตรา 11/1 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ บัญญัติให้ ผู้ประกอบกิจการ ต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับ สิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ หากลูกจ้างทำงานเหมือนลูกจ้างโดยตรง

 • การกำหนด วันเวลาทำงาน และ เงินค่าตอบแทน เป็นสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายที่ผู้ประกอบกิจการเลือกปฏิบัติไม่ได้

▌ดุลพินิจของศาล

 • ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายที่จะต้องจัดให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง (โจทก์) ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ เช่นเดียวกันกับลูกจ้างโดยตรง หากมีลักษณะการทำงานเหมือนกัน

 • การกำหนดเวลาทำงานที่มีผลต่อค่าตอบแทน เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่ต้องปฏิบัติให้เหมือนกัน

 • กรณี เงินโบนัส ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 จ่ายตามระบบประเมินผลงานและผลประกอบการ ซึ่งเป็น หลักเกณฑ์ที่เหมือนกัน ศาลเห็นว่ามิใช่การเลือกปฏิบัติ เพราะบางปีลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ยังได้รับมากกว่าลูกจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 1

 • ดังนั้น เฉพาะจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบกิจการ จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามมาตรา 11/1 วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงนายจ้างโดยตรงที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย

📌 สรุป

ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ย่อมมีสิทธิได้รับสวัสดิการและค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจากผู้ประกอบกิจการ โดยไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ ศาลวินิจฉัยว่าหน้าที่นี้เป็นของผู้ประกอบกิจการโดยตรง ไม่ใช่นายจ้างตามสัญญารับเหมาค่าแรง

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ กฎหมายว่าด้วยอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงิน โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 และ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยชอบด้วยกฎหมายในกรณีสัญญากู้ยืม

2. หัวข้อเรื่อง

“ดอกเบี้ยที่คิดล่วงหน้าเกินกฎหมายตกเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นยังคงสมบูรณ์”

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

➤ ข้อเท็จจริง

มีการทำ สัญญากู้ยืมเงิน ที่ในเนื้อหาของสัญญาระบุ จำนวนเงินต้น ซึ่งได้รวมดอกเบี้ยล่วงหน้าเอาไว้แล้ว และดอกเบี้ยดังกล่าว เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475

➤ ข้อกฎหมาย

 • พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 กำหนดไว้ว่า การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปีถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ดอกเบี้ยส่วนนั้นจะตกเป็นโมฆะ

 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ว่าด้วยการทำสัญญากู้และผลของการตกลงเรื่องดอกเบี้ย

➤ ดุลพินิจของศาล

ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า

 • การที่ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยล่วงหน้าและรวมไว้ในเงินต้น และอัตราดอกเบี้ยนั้นเกินกว่ากฎหมายกำหนด ถือว่า ขัดต่อกฎหมาย เป็นโมฆะเฉพาะในส่วนดอกเบี้ยเท่านั้น

 • ส่วนของหนี้เงินต้นที่แท้จริง และข้อตกลงในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 ต่อเดือน (หรือร้อยละ 15 ต่อปี) ซึ่งไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ยังคง สมบูรณ์และบังคับได้ตามกฎหมาย

 • ศาลยังวินิจฉัยด้วยว่า ข้อกฎหมายเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเกินกำหนดเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน กล่าวคือ เป็นเรื่องที่ศาลต้องพิจารณาเอง แม้ไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งก็ต้องหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย

📌 สรุป

หากในสัญญากู้ระบุยอดเงินต้นที่รวมดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่ากฎหมายจะอนุญาต ดอกเบี้ยนั้น ตกเป็นโมฆะ แต่ยอดหนี้เงินต้นที่แท้จริงและข้อตกลงที่ไม่ขัดกฎหมาย ยังมีผลผูกพันอยู่ ผู้ให้กู้ยังสามารถเรียกร้องหนี้ได้เฉพาะในส่วนที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับ “ตัวแทน” และ “ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน”

อ้างอิงบทบัญญัติตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812, 823

2. หัวข้อเรื่อง

ตัวแทนกระทำเกินอำนาจ – การให้สัตยาบันโดยตัวการไม่ตัดสิทธิเรียกร้องความเสียหาย และผลของการละเลยเรียกหนี้จนขาดอายุความ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา 1585/2529

✅ ข้อเท็จจริง

 • จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารของโจทก์

 • บริษัท บ. เป็นลูกค้าและได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยมี ส. เป็นผู้ค้ำประกันไว้ก่อน

 • ต่อมา จำเลยที่ 1 อนุญาตให้บริษัท บ. เบิกเงินเกินบัญชี เกินวงเงินที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งเป็น การกระทำเกินขอบอำนาจของผู้จัดการสาขา

 • บริษัท บ. ถึงแก่ความตาย

 • โจทก์ทราบเรื่องแต่ ไม่ได้ดำเนินการเรียกหนี้จากกองมรดก หรือจากผู้ค้ำประกัน (ส.) จนคดีขาดอายุความ

 • โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 (ผู้ค้ำประกันใหม่) เพื่อเรียกค่าเสียหาย

✅ ข้อกฎหมาย

 • มาตรา 812: ตัวแทนต้องรับผิดต่อตัวการ หากกระทำเกินอำนาจจนเกิดความเสียหาย

 • มาตรา 823: หากตัวการให้สัตยาบันต่อการกระทำของตัวแทนที่เกินอำนาจ ย่อมมีผลให้ผูกพันตัวการโดยตรงและทำให้ตัวแทนไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก

⚖️ ดุลพินิจของศาล

ศาลเห็นว่า:

 • แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำเกินขอบอำนาจ แต่เมื่อโจทก์ (ตัวการ) ให้สัตยาบันโดยไม่คัดค้าน และมีสิทธิที่จะดำเนินการฟ้องร้องเอาเงินคืนจากกองมรดกของบริษัท บ. หรือผู้ค้ำประกันคนเดิม แต่กลับ ละเลยและปล่อยให้สิทธิขาดอายุความ

 • การกระทำดังกล่าวถือว่า โจทก์มีส่วนทำให้เกิดความเสียหายด้วยตนเอง

 • จึง ไม่อาจเรียกร้องเอาความรับผิดจากจำเลยที่ 1 และ 2 ได้อีก

 • จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทน ไม่ต้องรับผิด เนื่องจาก ตัวการละเลยไม่ป้องกันความเสียหายเอง

 • จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน ไม่ต้องรับผิด เพราะหนี้ขาดอายุความไปแล้วและเกิดจากการละเลยของเจ้าหนี้เอง

📌 สรุป

คำพิพากษานี้ชี้ชัดว่า:

 • การให้สัตยาบันของตัวการต่อการกระทำเกินอำนาจของตัวแทน แม้จะทำให้ตัวแทนพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลภายนอก

 • แต่ไม่ทำให้ตัวแทนพ้นจากความรับผิดต่อตัวการ หากความเสียหายเกิดจากการกระทำนั้น

 • อย่างไรก็ตาม หากตัวการ ละเลยไม่ดำเนินการบำบัดความเสียหาย เช่น ปล่อยให้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความ

 • ตัวแทนและผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิด

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่ www.สู้คดี.com และ www.ทนายภูวงษ์.com

*********************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการละเมิด (มาตรา 420) ซึ่งเป็นการเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทน จากการกระทำหรือละเลยโดยประมาทที่เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต รวมถึงการพิจารณาหน้าที่ในการป้องกันอันตรายของผู้ประกอบการ (เจ้าของโรงแรม)

2. หัวข้อเรื่อง

เจ้าของโรงแรมต้องรับผิดฐานละเมิดเมื่อผู้เข้าพักจมน้ำเสียชีวิตในสระว่ายน้ำของโรงแรม

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา

✅ ข้อเท็จจริง

 • โจทก์พร้อมครอบครัวเข้าพักในโรงแรมจำเลยซึ่งมีสระว่ายน้ำลึกสูงสุด 2.55 เมตร

 • ผู้ตายว่ายน้ำอยู่กลางสระ แล้วจมน้ำ

 • ไม่มีเจ้าหน้าที่หรืออุปกรณ์ช่วยชีวิตในบริเวณสระ

 • การช่วยเหลือของญาติไม่สามารถช่วยชีวิตผู้ตายไว้ได้

 • โจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าของโรงแรม

✅ ข้อกฎหมาย

 • แม้จะไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับของหน่วยงานปกครองท้องถิ่นที่กำหนดให้โรงแรมต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยในสระว่ายน้ำ

 • แต่การที่จำเลยเปิดให้บริการสระว่ายน้ำที่มีความเสี่ยงสูง ต้องถือว่ามีหน้าที่ตามกฎหมายแพ่งในการป้องกันอันตราย มิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใช้บริการ

 • จำเลยมีหน้าที่ต้องจัดเตรียมบุคลากร อุปกรณ์ช่วยชีวิต และป้ายแสดงความลึก เป็นต้น

✅ ดุลพินิจของศาลและเหตุผล

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

 • สระว่ายน้ำของโรงแรมมีลักษณะอันตรายโดยเฉพาะส่วนที่ลึกมากและมีรูปทรงเป็นกรวย ทำให้การช่วยเหลือทำได้ยาก

 • การที่ไม่มีเจ้าหน้าที่หรืออุปกรณ์ช่วยชีวิต แสดงให้เห็นว่าจำเลยละเลยต่อหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัย

 • โจทก์และครอบครัวต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักโดยที่เหตุอันตรายนั้นสามารถป้องกันได้

 • แม้ไม่มีข้อบังคับของ อบต. หรือเทศบาล แต่หน้าที่ในการป้องกันความเสียหายต่อบุคคลอื่นนั้นมีอยู่ตามหลักทั่วไปของกฎหมายละเมิด

สรุป ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานละเมิด ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการจมน้ำเสียชีวิตของผู้ตาย

📌 บทเรียนจากคดีนี้

 • เจ้าของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเสี่ยงต่อชีวิต เช่น สระว่ายน้ำ ต้องเตรียมความพร้อมทั้งอุปกรณ์และบุคลากร แม้กฎหมายเฉพาะจะไม่มีการกำหนดไว้

 • ความเสียหายที่เกิดจากการละเลยสามารถนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้ไม่มีบทบัญญัติหรือข้อบังคับเฉพาะรองรับ

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ โทร. 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

*************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดฐานลักทรัพย์ และการปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการพิจารณา

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา – อำนาจศาลในการวินิจฉัยข้อหาที่แตกต่างจากฟ้องในรายละเอียด

2. หัวข้อเรื่อง

การเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดฐานยักยอกเป็นลักทรัพย์ และการวินิจฉัยเมื่อข้อเท็จจริงแตกต่างในรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 4096/2557

✅ ข้อเท็จจริง

 • ฮ. เป็นบุคคลสัญชาติเนเธอร์แลนด์ และเป็นสามีภริยากับโจทก์ร่วมตามกฎหมายเนเธอร์แลนด์

 • ฮ. ซื้อห้องชุดแต่ให้ จำเลย ถือกรรมสิทธิ์แทน (นิติกรรมอำพรางในทางแพ่ง) โดยจำเลยทำหน้าที่แทนเจ้าของเพียงชั่วคราว เช่น ถือกุญแจ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ

 • ต่อมา จำเลยแจ้งความเท็จว่าเอกสารกรรมสิทธิ์หาย เพื่อขอหนังสือใหม่ แล้ว เปลี่ยนกุญแจ เข้าครอบครอง และนำไปขายต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่แท้จริง (ฮ. และโจทก์ร่วม)

✅ ข้อกฎหมาย

 • เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐาน ยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

 • แต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณาแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้ครอบครองโดยสุจริตหรือโดยได้รับมอบจากเจ้าของโดยสมบูรณ์ การเข้าไปครอบครองด้วยอุบายเพื่อยึดกรรมสิทธิ์โดยเจ้าของที่แท้จริงไม่ยินยอม จึงเข้าข่าย ลักทรัพย์ ตามมาตรา 334

⚖ อ้างอิงบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

 • ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง-สาม

→ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษตามข้อเท็จจริง แม้ต่างจากฟ้องในรายละเอียด หากจำเลยไม่หลงต่อสู้

 • ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบ มาตรา 225

→ ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ แม้ไม่มีฎีกา โดยไม่เพิ่มโทษให้หนักขึ้น

✅ ดุลพินิจของศาล

 • ศาลวินิจฉัยว่า แม้ข้อหาในฟ้องคือ ยักยอก แต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยเข้าไปครอบครองด้วยการแจ้งความเท็จและเจตนายึดทรัพย์ไปขาย เข้าข่ายลักทรัพย์

 • การเปลี่ยนบทลงโทษจากยักยอกเป็นลักทรัพย์ ไม่ใช่การเปลี่ยนข้อหาหลัก แต่เป็น ความแตกต่างในรายละเอียดของพฤติการณ์ในคดี

 • เมื่อจำเลยไม่ได้หลงต่อสู้ และไม่ได้เสียสิทธิในการต่อสู้คดี ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 และ 212 โดยไม่จำเป็นต้องมีฎีกาจากโจทก์หรือโจทก์ร่วม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น มีการโอนกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ หรือคดีอาญาที่ต้องพิจารณาความแตกต่างของข้อหาทางกฎหมาย

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

***************************************

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา โดยทนายภูวงษ์ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ โทร. 0818034097

1. กฎหมายเกี่ยวกับอะไร

กฎหมายอาญา – ความผิดฐานลักทรัพย์ และการปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการพิจารณา

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา – อำนาจศาลในการวินิจฉัยข้อหาที่แตกต่างจากฟ้องในรายละเอียด

2. หัวข้อเรื่อง

การเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดฐานยักยอกเป็นลักทรัพย์ และการวินิจฉัยเมื่อข้อเท็จจริงแตกต่างในรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ

3. วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 4096/2557

✅ ข้อเท็จจริง

 • ฮ. เป็นบุคคลสัญชาติเนเธอร์แลนด์ และเป็นสามีภริยากับโจทก์ร่วมตามกฎหมายเนเธอร์แลนด์

 • ฮ. ซื้อห้องชุดแต่ให้ จำเลย ถือกรรมสิทธิ์แทน (นิติกรรมอำพรางในทางแพ่ง) โดยจำเลยทำหน้าที่แทนเจ้าของเพียงชั่วคราว เช่น ถือกุญแจ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ

 • ต่อมา จำเลยแจ้งความเท็จว่าเอกสารกรรมสิทธิ์หาย เพื่อขอหนังสือใหม่ แล้ว เปลี่ยนกุญแจ เข้าครอบครอง และนำไปขายต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่แท้จริง (ฮ. และโจทก์ร่วม)

✅ ข้อกฎหมาย

 • เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐาน ยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

 • แต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณาแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้ครอบครองโดยสุจริตหรือโดยได้รับมอบจากเจ้าของโดยสมบูรณ์ การเข้าไปครอบครองด้วยอุบายเพื่อยึดกรรมสิทธิ์โดยเจ้าของที่แท้จริงไม่ยินยอม จึงเข้าข่าย ลักทรัพย์ ตามมาตรา 334

⚖ อ้างอิงบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

 • ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง-สาม

→ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษตามข้อเท็จจริง แม้ต่างจากฟ้องในรายละเอียด หากจำเลยไม่หลงต่อสู้

 • ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบ มาตรา 225

→ ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ แม้ไม่มีฎีกา โดยไม่เพิ่มโทษให้หนักขึ้น

✅ ดุลพินิจของศาล

 • ศาลวินิจฉัยว่า แม้ข้อหาในฟ้องคือ ยักยอก แต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยเข้าไปครอบครองด้วยการแจ้งความเท็จและเจตนายึดทรัพย์ไปขาย เข้าข่ายลักทรัพย์

 • การเปลี่ยนบทลงโทษจากยักยอกเป็นลักทรัพย์ ไม่ใช่การเปลี่ยนข้อหาหลัก แต่เป็น ความแตกต่างในรายละเอียดของพฤติการณ์ในคดี

 • เมื่อจำเลยไม่ได้หลงต่อสู้ และไม่ได้เสียสิทธิในการต่อสู้คดี ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 และ 212 โดยไม่จำเป็นต้องมีฎีกาจากโจทก์หรือโจทก์ร่วม

หากท่านหรือบุคคลที่ท่านรู้จักประสบปัญหาในลักษณะนี้ เช่น มีการโอนกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ หรือคดีอาญาที่ต้องพิจารณาความแตกต่างของข้อหาทางกฎหมาย

ติดต่อ ทนายภูวงษ์ 081-803-4097 เพื่อขอคำปรึกษากฎหมายและคดีความ

ค้นหาโพสต์ทั้งหมดได้ที่

🌐 www.สู้คดี.com

🌐 www.ทนายภูวงษ์.com

***********************************


การตั้งค่าคุกกี้
X
ไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ในการท่องเว็บที่ดียิ่งขึ้น
คุณสามารถยอมรับคุกกี้ทั้งหมดหรือเลือกประเภทของคุกกี้ที่คุณยินดีอนุญาต
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
เลือกคุกกี้ที่คุณต้องการอนุญาตในขณะที่คุณเรียกดูเว็บไซต์นี้ โปรดทราบว่าคุกกี้บางตัวไม่สามารถปิดได้ เนื่องจากหากไม่มีคุกกี้ เว็บไซต์จะไม่ทำงาน
ความสำคัญ
เพื่อป้องกันสแปม ไซต์นี้ใช้ Google Recaptcha ในแบบฟอร์มการติดต่อ

ไซต์นี้อาจใช้คุกกี้สำหรับอีคอมเมิร์ซและระบบการชำระเงินซึ่งจำเป็นสำหรับเว็บไซต์เพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้อง
บริการของ Google
ไซต์นี้ใช้คุกกี้จาก Google เพื่อเข้าถึงข้อมูล เช่น หน้าที่คุณเยี่ยมชมและที่อยู่ IP ของคุณ บริการของ Google บนเว็บไซต์นี้อาจรวมถึง:

- Google Maps
- Google Font
ข้อมูล
ไซต์นี้อาจใช้คุกกี้เพื่อบันทึกพฤติกรรมของผู้เข้าชม ติดตามการแปลงโฆษณา และสร้างผู้ชม รวมถึงจาก:

- Google Analytics
- เครื่องมือวัด Conversion ของ Google Ads
- Facebook (Meta Pixel)